top of page

จดหมายถึง Matilda (ฉบับที่ 1)

สวัสดีครับพี่ ๆ


เกรดออกแล้ว ขอแชร์ความรู้สึกในการเรียน ป. โท เทอมแรกหน่อยนะครับ


ผมพอใจกับ GPA ครับ สูงกว่าที่คาดหวัง เพราะในหลาย ๆ คลาสก็ลองผิดลองถูก ลองท้าทายตัวเองว่าจะเอาตัวรอดในคลาสชั่วโมงกว่า ๆ ได้ไหมถ้าไม่ได้เตรียมตัวก่อนเรียนด้วยการอ่านบทความต่าง ๆ ที่อาจารย์อัปโหลดไว้ใน portal ของคลาส ปรากฏว่าสนุกมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะวิชาที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในคลาส (Discussion) ที่เพื่อน ๆ ค่อนข้างขยันและเตรียมตัวกันมาอย่างดี การที่ผมลองไม่เตรียมตัวไปเลย ทำให้ผมได้ฝึกเอาตัวรอดโดยใช้ความรู้ที่เก็บเกี่ยวในช่วงที่เรียน ป. ตรี และช่วงที่ทำงานมาเกือบ 10 ปี พยายามหาวิธีมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนด้วยการตั้งคำถาม ถึงแม้ไม่รู้ก็จะยกมือบอกว่าไม่รู้ และให้เพื่อน ๆ กับอาจารย์ช่วยกันให้คำตอบ (ถึงแม้บางคำถามผมรู้คำตอบก็จะแกล้งทำเป็นบอกว่าไม่รู้ เพื่อให้อาจารย์กับเพื่อน ๆ ช่วยอธิบายหน่อย) เพราะผมอยากรู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่เราเข้าใจมันเหมือนหรือแตกต่างกับคนอื่นไหม รวมถึงเสนอมุมมองที่นึกออก ณ ขณะนั้น จนกลายเป็นหัวข้อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นไฮไลท์ได้ในหลาย ๆ คลาส


วิชาที่ผมรู้สึกสนุกที่สุดกลับเป็นวิชาที่ได้เกรดต่ำที่สุด (B+) คือวิชาสถิติ โดยพื้นฐานผมไม่ชอบเรียนเลขเลย จำได้ว่าเคยลองไปเรียนกวดวิชาสมัย ม. ปลาย ดันไปนั่งร้องไห้เพราะทำคะแนนได้ไม่ดี หรือได้คำตอบไม่ตรงกับเฉลย แต่ในคลาสนี้ผมรู้สึกสนุกที่ได้ลองผิดลองถูก ฝึกคำนวณสถิติ ฝึกคาดการณ์ ฝึกประมวลผลข้อมูลทางคณิตศาสตร์และนำข้อมูลมาประมวลใน R เพื่อวิเคราะห์และ visualize ซึ่งมันสนุกและเป็นประโยชน์ในการทำ final project และงานในอนาคตของผม วิชานี้ตอนสอบก็ suffer มาก ๆ ครับ ผมขอให้รุ่นพี่คนไทยและเพื่อนที่เรียน data ช่วยติว ผมดูคลิปคนอินเดียที่สอนใน YouTube เป็นการติวด้วยจนครั้งหนึ่งผมได้คะแนนเต็ม!


ผมสังเกตว่า การคำนวณหรือคำตอบของผมก็ไม่ได้ตรงกับที่อาจารย์เฉลยแม้ในงานที่ผมได้คะแนนเต็ม ผมได้คุยกับอาจารย์เป็นประจำจนเข้าใจว่า เขาต้องการดูวิธีคิดและกระบวนการที่นำไปสู่ข้อสรุปมากกกว่าคำตอบเป๊ะ ๆ มันทำให้ผมชอบที่จะทำงานในลักษณะนี้ เพราะผมจะกล้าดัดแปลง/ผสมผสานสิ่งที่ตัวเองศึกษาเองในการทำ assignment นั้น ๆ


อีกวิชาหนึ่งที่น่าสนใจคือ Global Perspectives วิชานี้เป็นวิชาของ School of Management ชื่อวิชาอาจจะไม่ชวนเรียนสักเท่าไหร่เพราะฟังไม่ออกเลยว่าเรียนอะไรกันแน่ แต่พอเข้าไปอ่านหลักสูตรและได้เรียนจริง ปรากฏว่า เป็นหนึ่งในวิชาที่ผมมองหาในการมาเรียนต่อครั้งนี้เลยครับ เพื่อนในคลาสส่วนใหญ่เป็นเด็ก MBA ที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว และวิชานี้ผมได้ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ในคลาสอีก 3 คน (ซึ่งมันคือการทำงานจริง ๆ ครับ แค่ทำงานในนามของนักศึกษาคลาสนี้) โดยมี Project Partner เป็น บริษัท Startup ในเกาหลีใต้ ที่ทำงานด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ข้ามประเทศ (Cross-border Real Estate Investment) ง่าย ๆ คือเป็นตัวกลางให้คำแนะนำและช่วยเหลือชาวอเมริกันที่อยากซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเกาหลีใต้และชาวเกาหลีใต้ที่อยากซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ วิชานี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปทำงานอีกครั้งแต่เป็นสายงานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ผมได้ใช้ทักษะสมัยที่ทำงาน consult และมุมมองด้านกฎหมายที่เคยเรียนรู้มาปรับใช้ในโปรเจคนี้ ผลออกมาก็เป็นวิชาที่ผมได้เกรดดีที่สุดครับ (A) แต่เกรดที่ได้ยังไม่ทำให้ผมดีใจเท่ากับคำแนะนำจากอาจารย์และ Project Partner ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมในการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่น ๆ ในมุมของคนที่สมบุกสมบันกับมันมาจริง ๆ จนเติบโตเป็นที่รู้จัก 



ส่วนอีก 2 วิชา คือ International Trade and Development และ Introduction to International Business and Trade ซึ่งเป็นวิชาบังคับของเทอมนี้ หลัก ๆ เป็น Introduction ของสาขาวิชา มีสอดแทรกการเตรียมทำ Final Project/Graduation Thesis ไว้ด้วย สองวิชานี้เน้นการแชร์ความคิดเห็นหนักมากๆๆๆ ทำให้ทักษะการพูดและการโต้ตอบของผมพัฒนาขึ้นเยอะ ปกติผมเป็นคนชอบตั้งคำถามหรือหาข้อโต้แย้งอยู่แล้ว เลยคิดว่าตัวเองสามารถทำให้คลาสสนุกได้ โดยเฉพาะเวลาได้เสนอมุมมองจากประเทศไทย ที่ทำให้ได้ทั้งคลาส Wow! และ What!? ทำให้เกิดผมความรู้สึกภูมิใจที่เป็นนักเรียนคนเดียวจากประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ในมิติของการศึกษา วัฒนธรรม การเมือง ส่งผลกับการค้าการลงทุนในแบบที่ไม่เหมือนชาติตะวันตก นอกจากนี้ สองวิชานี้ก็ให้ฝึกเขียนรายงานอย่างเข้มข้น ผมต้องอ่านบทความเยอะมาก ๆ และได้ฝึกใช้ Trade Data Analytic Tools ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลปฐมภูมิในมุมที่เราสนใจ และผมรู้สึกดีมาก ๆ ครับ ที่ในคลาสมีความหลากหลายของนักศึกษาสูง มีทั้งนักเรียนชาวอเมริกันและนักเรียนชาวต่างชาติจากเอเชีย แคนาดา แอฟริกา ซึ่งบางคนก็เป็นนักเรียนในระดับปริญญาเอกมาร่วมเรียนด้วย



สำหรับการเรียนในเทอมถัดไป ครูที่ปรึกษาของผมแนะนำอีกหลายวิชาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวิชาของ Law School ซึ่งผมเองได้พูดคุยกับอาจารย์ประจำวิชาและเตรียมวางแผนการไว้แล้วครับ




นอกเหนือจากเรื่องเรียนคือ “การทำงาน” ผมได้ช่วยอาจารย์วิเคราะห์ข้อมูลโดยที่อาจารย์ให้ค่าจ้างตามเรทขั้นต่ำ ผมค้นพบว่าการหางานทำด้วยสถานะวีซ่านักเรียนที่นี่ยากมากครับ ผมสมัครงานตั้งแต่ก่อนมาเรียน ตอนนี้ได้งานในมหาวิทยาลัย 2 งาน คือ (1) งานผู้ช่วยสำหรับนักเรียนชาวต่างชาติ และ (2) งานเป็น Photo/Video Editor and Content Creator ให้ School of Engineering แต่กว่าจะได้รับการตอบรับเวลาก็ผ่านไปหลายเดือน จะได้เริ่มทำงานจริง ๆ ก็เทอมใหม่ครับ ผมได้ลองสมัครงานนอกมหาวิทยาลัยไปด้วยหลายงาน ก็มีได้บ้างไม่ได้บ้าง พอได้รับการติดต่อกลับมาและเขารู้ว่าเราเป็นนักเรียนและยังไม่มี Social Security Number (SSN) ก็ถูกปฏิเสธไปครับ แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกเห็นแสงปลายอุโมงค์ว่า ด้วยประสบการณ์ที่มีและถ้าตั้งใจหางานที่นี่จริง ๆ ก็คงสามารถทำได้ ด่านต่อไปสำหรับผมคงเป็นการหา Internship ตอนนี้ก็เริ่มมองไว้บ้างแล้ว ยังไงจะมาอัปเดทพี่ ๆ ทาง Matilda อีกที ฝากส่งกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ



เรื่องเรียนผมมีความตั้งใจแน่ ๆ แต่กิจกรรมนอกมหาลัยผมเองก็ตั้งใจมาก ๆ ด้วยเช่นกันครับ ทุกวันนี้ผมทำตารางออกกำลังกาย ออกไปปีนเขา วิ่งตามเมืองใกล้ ๆ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองทำได้คือ การวิ่ง Half Marathon ครับ ช่วงซ้อมผมท้อแท้ใจมาก คิดตลอดว่าทำไมคนอื่นทำได้แต่เราแค่ครึ่งทางก็แทบตายแล้ว แต่พอได้เห็นคนแก่และเด็กที่ดูเหมือนไม่แข็งแรงเท่าเราวิ่งกันอย่างตั้งใจในวันจริง ก็เป็นแรงผลักทำให้ผมเองวิ่งถึงเส้นชัยในเวลามาตรฐานได้ในที่สุดด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าการที่เรารายล้อมตัวเองด้วยคนมีความพยายาม มีจุดมุ่งหมาย และตั้งใจไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ มีผลต่อความสำเร็จของเราจริง ๆ Boundary หรือกำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาในใจตลอดช่วงซ้อม มันเป็นสิ่งที่เราทั้งสร้างและทลายมันได้ ขึ้นอยู่กับ Mindset ของเราครับ

 

ในช่วงเทศกาลผมก็ได้ไปเที่ยวบ้างครับ ผมเข้าร่วมกิจกรรมของคนท้องถิ่นอย่าง Apple Picking Festival (เทศกาลเก็บแอปเปิ้ล) และตอนนี้กำลังวางแผนไปสกีครั้งแรกครับ ยอมรับว่าตารางกิจกรรมแน่นจริง ๆ ผมมาอยู่ที่นี่ได้เกือบครึ่งปี เพื่อน ๆ บอกว่าเหมือนอยู่มาหลายปีครับ


โดยรวมผมรู้สึกว่าเกือบครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ผมได้ใช้สมองและร่างกายหนักดีครับ รู้สึกว่าหลาย ๆ อย่างเราสามารถข้ามผ่านข้อจำกัดของตัวเองได้เรื่อย ๆ แบบไม่สิ้นสุด ทุกคนมี Boundary หรือกำแพง หรือ Limitation ที่บั่นทอนความตั้งใจจริงของเรากันทุกคน มันยากมากที่จะทำลายกำแพงเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ และผมคิดว่าเราไม่ต้องทำลายมันก็ได้ครับ แต่เราสามารถควบคุมมันได้ วันนึงกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นในใจของเรามันอาจจะดูใหญ่มากจนเรามองไม่เห็นอีกฟาก แต่วันนี้กำแพงนั้นมันดูเล็กลง เล็กลงจนผมเองกระโดดข้ามไปได้ วันนึงผมหวังว่ากำแพงนั้นจะกลายเป็นแค่ลูกระนาดซึ่งเป็นแค่เนินเตี้ย ๆ ที่ไม่ใช่ข้อจำกัดไม่ให้เราไปต่อ แต่ช่วยยั้งให้เราให้มีเวลาคิดอย่างไม่ประมาทก่อนเหยียบคันเร่งเดินหน้าสู่ปลายทางครับ





ปล. ตอนนี้ผมทำอาหารเองจนจะโปรแล้ว

ถ้ามีโอกาสผมจะทำให้พี่ ๆ ชิมนะครับ

 

นัตโตะ

ดู 188 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page